เกี่ยวกับเรา
การเดินทางของเราเรามุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่เด็กในชุมชนแออัดคลองเตยให้มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการเรียนการสอนดนตรีและศิลปะ
จุดเริ่มต้นของโรงเรียน
มูลนิธิพู่กัน (ชื่อเดิม คลองเตยมิวสิกโปรแกรม) เป็นโครงการที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในปี 2555 มีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวกผ่านดนตรีและศิลปะ
โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโครงการ Playing For Change (PFC) และมูลนิธิ Playing For Change (PFCF) ทีมงานของเราเริ่มต้นด้วยการจัดสอนดนตรีสัปดาห์ละครั้งให้กับเด็กด้อยโอกาสในชุมชนคลองเตย
ต่อมา PFCF ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ จนในเดือนมิถุนายน ปี 2556 โครงการของเราเป็นโครงการลำดับที่ 9 ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากมูลนิธิ Playing For Change
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 9 ปีหลังจากนั้น มูลนิธิพู่กันเปิดสอน 5 วันต่อสัปดาห์ ในวิชาดนตรีสากล ดนตรีไทย ศิลปะ และภาษาอังกฤษ ให้แก่เด็กและเยาวชน จำนวน 70 กว่าคน
ชุมชนแออัดคลองเตย
ด้วยประชากรนับแสนที่กระจายตัวกันอย่างหนาแน่นทางตอนใต้ของกรุงเทพมหานคร คลองเตยคือชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พื่นที่นี้เคยเป็นโรงฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่เมื่อราวปลายพุทธศักราช 2400 และปัจจุบันได้กลายเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าหลักของแม่น้ำเจ้าพระยา
เด็ก ๆ ที่นี่หลายคนที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งความยากจน ความรุนแรงในครอบครัว การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร การใช้ยาเสพติดและเครื่องดื่มมึนเมา และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับความรักและการสนับสนุนจากครอบครัว แต่ก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องพบกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่ควรจะได้เจอ
สิ่งที่ขับเคลื่อนเรา
ภารกิจของเรา
เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเด็กด้อยโอกาสในชุมชนคลองเตยด้วยการสร้างโอกาสที่จับต้องได้เพื่อการศึกษาและส่งเสริมการพัฒนาตนเองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผ่านกิจกรรมด้านดนตรีและศิลปะ
ทีมงานของเรา
คณะกรรมการมูลนิธิ
มิชาเอล บีดาเสค
ประธานกรรมการ
ไมเคิล เป็นทั้งนักสำรวจเมืองและผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่น และเป็นบล็อกเกอร์เชื้อชาติไทย-เยอรมัน อาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เขาสำรวจกรุงเทพในมุมที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็น เปิดเผยเรื่องราวที่ยังไม่เคยมีใครได้ยินและสนับสนุนโครงการในชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไมเคิลได้ที่เว็บไซต์ของเขา
โบ - พิมพ์สุภา ภักดี
รองประธานกรรมการ
โบเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ เธอเข้ามาทำงานนี้จากการชักชวนของจีจี้ เธอรู้ว่าเด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสต้องการได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีอีกมาก เธออยู่ในแวดวงการศึกษามามากกว่า 10 ปี ด้วยแนวคิดที่ว่า การปลูกฝังความรู้ ความสามารถให้เด็ก ๆ ตั้งแต่ยังเล็กเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะทำให้พวกเขาเติบโตไปใช้ความรู้ ความสามารถนั้นในการช่วยเหลือตนเองและพัฒนาประเทศชาติได้อีกด้วย โบทำงานเป็นผู้ประสานงานให้กับมูลนิธิพู่กันมาเป็นเวลา 5 ปี ด้วยความหวังที่ว่าเด็ก ๆ กลุ่มนี้จะใช้ดนตรีเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองทั้งด้านอารมณ์ ด้านจิตใจ และด้านความสามารถ ปัจจุบันโบได้ก้าวไปสู่บทบาทใหม่ในชีวิต แต่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของมูลนิธิพู่กัน
อั้ม - ปิยวัฒน์ ศุภมิตร
ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการ
อั้มเริ่มเรียนดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ขวบ และสำเร็จการศึกษาด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สาขากีตาร์แจ๊ส ดนตรีเปรียบเหมือนศาสนาสำหรับอั้ม เป็นสื่อที่ช่วยให้จิตใจพบกับความสงบ อั้มเป็นนักดนตรีมืออาชีพและเป็นอาสาสมัครรุ่นบุกเบิกของมูลนิธิพู่กัน เขาสอนกีตาร์เป็นหลักแต่ก็สามารถสอนเบสได้อีกด้วย อั้มยังแต่งและเรียบเรียงเพลงสำหรับโครงการต่าง ๆ ของเราด้วย ปัจจุบันอั้มได้ก้าวไปสู่บทบาทใหม่ในชีวิตเช่นกัน แต่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของมูลนิธิพู่กัน
ทีมงานของเรา
ทีมงาน
จีจี้เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เธอจากบ้านที่ฝรั่งเศสมาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ปี 2552 และเริ่มทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล หลังจากใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายอยู่ 2 ปี เมื่อได้คำตอบ จีจี้ก็ตามเสียงหัวใจของตัวเองด้วยการเปลี่ยนอาชีพมาเป็นครูสอนเปียโน และใช้เวลาที่เหลือจากการทำงานเป็นอาสาสมัครในโครงการต่าง ๆ เป็นเวลา 6 เดือน นั่นทำให้เธอเริ่มที่จะมองหาวิธีที่จะช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยแรงบันดาลใจจากมูลนิธิ Playing For Change จีจี้รู้ตัวเลยว่าเธอต้องการที่จะสอนดนตรีให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส จีจี้จึงรวมตัวกับเพื่อน ๆ และตัดสินใจก่อตั้งมูลนิธิพู่กันขึ้น
ปอ อดีตพนักงานบริษัทและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หลังจากมุ่งมั่นแสวงหาคุณค่าของตัวเองผ่านการทำงานหนักและการเติบโตในองค์กรเป็นเวลากว่า 10 ปี ปอพบว่าสิ่งที่ทำไปไม่ตอบโจทย์ในการแสวงหาคุณค่าของตัวเอง โดยพบว่าแท้จริงแล้วการได้ทำงานดูแลผู้อื่น และได้มีเวลากลับมาดูแลใจตัวเองด้วยนั้น เติมเต็มความสุขมากกว่าตำแหน่งและตัวเงินที่เคยได้รับ หลังจากเลือกเส้นทางสาย Freelance ปอได้เข้าทำงานเป็นผู้ประสานงานของมูลนิธิพู่กัน และหวังว่าประสบการณ์ด้านสื่อสารองค์กรที่ผ่านมา จะสามารถทำให้มูลนิธิพู่กันเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ของเราได้มากยิ่งขึ้น
เอ็มเรียนศิลปะและภาษาจากมหาวิทยาลัย แต่ความสามารถทางศิลปะของเขาไม่ได้ถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเมื่อครั้งที่เอ็มยังทำงานเป็นทัวร์ไกด์พาผู้คนเที่ยวชมกรุงเทพฯ ในมุมที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็น เมื่อคราวที่โลกเผชิญกับโควิด-19 ผู้คนนับล้านต้องหาทางรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป ในตอนนั้นเองที่เรากำลังมองหาเจ้าหน้าที่ธุรการ และนั่นคือตอนที่เพื่อนของเอ็มได้แนะนำเขาสู่โรงเรียนของเรา เอ็มทำงานที่มูลนิธิพู่กันตั้งแต่ปี 2563 นอกจากความสามารถทางศิลปะแล้ว เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเด็ก ๆ ทำให้เขาเข้ากับที่นี่ได้เป็นอย่างดี เอ็มได้รับความไว้วางใจจากเด็ก ๆ และครอบครัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในงานเพื่อสังคมของเรา หลังจากอยู่กับเราไม่กี่สัปดาห์ เอ็มยังรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานโครงการศิลปะและครูสอนศิลปะ และช่วยเหลือมูลนิธิในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย
นัททำงานเป็นช่างภาพอิสระ ได้มีโอกาสรู้จักโครงการนี้จากการชักชวนของพี่โบ ให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยสอนในคลาสวิชาภาษาอังกฤษทุก ๆ วันพุธ เมื่อได้รับคำชวน นัทก็ตอบตกลง เพราะสำหรับนัทแล้ว การศึกษาถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่าที่เราสามารถมอบให้เด็ก ๆ ได้เป็นอาวุธติดตัวไปใช้ในอนาคตข้างหน้าของพวกเค้าได้ พอสอนภาษาอังกฤษได้สักพัก นัทก็มีโอกาสได้มาดูแลในส่วน ของ Student’s counsellor โดยมีหน้าที่ดูแลเรื่อง การแนะแนวการศึกษาและอาชีพ เพื่อสนับสนุนให้เด็กเหล่านี้ ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นในอนาคต การได้เข้าร่วมโครงการนี้ถือเป็นของขวัญสุดวิเศษสำหรับตัวนัท เพราะนัทได้รับพลังความสดใสและความรักจากเด็กมากมาย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี สุดท้ายนี้ นัทอยากให้เด็ก ๆ ทุกคนได้เรียน ได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเค้าอย่างที่เป็น และมีความสุขในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เมื่อพวกเค้าเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่
พัด เริ่มฝึกร้องเพลงและเล่นดนตรี โดยการทำวงดนตรีกับเพื่อน ได้ผ่านการแสดงและการประกวดต่าง ๆ จนได้มีโอกาสศึกษาดนตรีต่อในมหาวิทยาลัย ด้านการขับร้องคลาสสิก รวมถึงมีประสบการณ์การทำงานด้านการขับร้องประสานเสียง ทฤษฎีดนตรี และการประพันธ์บทเพลง สำหรับพัดแล้ว ดนตรีไม่ได้เป็นเพียงแค่ทักษะความสามารถ แต่ดนตรีคือภาษาสากลที่สามารถใช้สื่อสารกับทุกคนได้ รวมถึงช่วยยกระดับของจิตวิญญาณของผู้คนให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นอีกด้วย
เริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ โดยมีพ่อเป็นคุณครูคนแรก ความรู้สึกตอนนั้นมองดนตรีเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของตัวเราเองมาก เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะฝึกฝนให้เก่งเหมือนศิลปินดังๆ ที่ชื่นชอบได้ ตอนนั้นมองแค่เพียงว่าฝึกเพื่อที่จะสอบแข่งขันเข้าเรียนดนตรีในระดับมหาวิทยาลัยได้ ทุ่มเทเพียงเพื่อความสุขภายนอกของตัวเราแค่นั้น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปความคิดมุมมอง ก็เปลี่ยนจากความคิดเดิมๆนั้น กลับกลายเป็นมองว่าดนตรีเป็นสิ่งสวยที่ทำให้เกิดความสุขจากภายในได้ เป็นแรงบันดาลใจ อีกทั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน เหตุผลนี้แหละที่ตั้งใจมาสอนเด็ก ๆ ที่คลองเตย เพราะเชื่อว่าชีวิตวัยเด็กรวมถึงวัยรุ่นนั้น ควรต้องมีคนชี้แนะ นำไปทางที่ควร แต่เราจะบังคับเด็ก ๆ ไปหมดทุกสิ่งไม่ได้ เราจึงใช้ดนตรีเป็นสื่อในการชี้แนะแนวทางให้เด็ก ๆ โดยหวังว่าดนตรีนี้จะเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันให้เค้ารู้จักเลือกและแยกแยะการใช้ชีวิตไปในทางที่ดีได้ตัวเอง หลังจากที่ได้มาสอนเด็ก ๆ ที่คลองเตย มันไม่ใช่เพียงแค่สอนและทำหน้าที่ครูเท่านั้น แต่น้ำได้เรียนรู้ทั้งสังคมของคนที่นี่ ได้เรียนรู้สัมผัสการทำงานที่แปลกใหม่ ที่สำคัญน้ำได้ค้นพบว่า การเป็นครูที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร นับได้ว่าการที่เป็นครูสอนเด็ก ๆ คลองเตยเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิตจริง ๆ
โอลีฟเริ่มเรียนกลองครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบ โดยมีพ่อเป็นคนสอนให้ แล้วฝึกเองมาเรื่อย ๆ พอเข้าเรียนมัธยมมีความสนใจอยากเล่นกีตาร์ จึงเริ่มฝึกด้วยตัวเองก่อนที่จะเรียนอย่างจริงจังในระดับปริญญาตรี ในระหว่างเรียนนอกจากเล่นดนตรีแล้วยังได้รับสอนดนตรีบ้างเป็นงานพิเศษ หลังจากเรียนจบ ก็ได้มาทำงานเป็นครูสอนดนตรีแบบเต็มตัว สะสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ ได้เรียนรู้จากการทำงานหลายอย่าง และมีความภูมิใจกับตัวเองที่สามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับคนอื่นได้ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข เพราะการอยู่กับเด็ก ๆ มันสนุกจริง ๆ
ปริญญาตรี ดุริยางคศาสตร์บัณฑิต เริ่มเล่นกีตาร์โดยความบังเอิญ ตอนอายุ 14 เพราะพี่ชายข้างบ้านติดทหารเกณฑ์ เลยเอากีตาร์มาทิ้งไว้ที่บ้าน ซึ่งเป็นตอนปิดเทอมพอดี ก็เลยได้โอกาสหยิบกีตาร์มาลองดีดดู เพลงแรกที่หัดเล่นคือ เรียนและงาน ของพี่ปู พงศ์สิทธิ์ คำภีร์ ซึ่งมีคอร์ดอยู่ 2 3 คอร์ด อาจารย์คนแรกคือหนังสือเพลง และฝึกเล่นด้วยตนเองมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้ามัธยมปลาย เริ่มเอาจริงเอาจังในทางดนตรี เริ่มตั้งวงกับเพื่อน ๆ ตอนอายุ16 และเดินสายประกวด แต่ไม่เคยเข้ารอบ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก ที่เราได้ไปเจอกับวงที่เก่ง ๆ ทำให้เราต้องฝึกฝนตัวเองให้มากขึ้น พัฒนาตัวเองให้มากขึ้น และได้ค้นพบว่า การที่ไม่มีคนที่คอยแนะนำ ชี้แนะ ในการฝึกฝน ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ช้ามาก จนกระทั่งสอบติดมหาวิทยาลัยดนตรี มีอาจารย์คอยชี้แนะแนวทาง เราจึงรู้สึกได้ว่าเราพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้นมาก และเหตุผลนี้เองทำให้ตัวเองอยากเป็นครูคอยชี้แนะแนวทางให้กับเด็ก ๆ พอเรียนจบก็เลยหาที่ทำงาน และที่นี่ประกาศหาครูสอนกีตาร์พอดี ก็เลยได้โอกาสสมัครเข้ามาทำงาน แล้วก็ได้รับโอกาสมาสอน มาชี้แนะเด็ก ๆ เพื่อให้เด็ก ๆได้พัฒนาตัวเอง และค้นหาตัวเอง ว่าชอบดนตรีแบบไหน อยากให้ดนตรีพาตัวเขาไปถึงไหน ซึ่งดนตรีสามารถทำให้เด็ก ๆ ทำมาหาเลี้ยงชีพได้ เมื่อโตขึ้นสามารถหารายได้มาจุนเจือครอบครัวได้
ป.ตรี ดุริยางคศาสตร์ สาขาดนตรีแจ๊ส ม.ศิลปากร เป็นคนจังหวัดยะลา เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 14 โดยเริ่มจากการตีกลอง แล้วได้เปลี่ยนมาเล่นเบสตอนอายุ 18 จากนั้นเริ่มจริงจังกับการเรียนดนตรีในระดับมหาวิทยาลัย โดยเริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัยทักษิณ จังหวัดสงขลา เรียนที่นั้น 2 ปีเริ่มรู้ตัวว่าชอบแจ๊ส เลยสอบเข้าใหม่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรในเอกดนตรีแจ๊ส จากนั้นก็เริ่มทำงานดนตรีเป็นอาชีพตั้งย้ายมาเรียน โดยเริ่มเล่นที่ Jazz happen ตั้งแต่ปี 2010-2020 และเล่นที่โรงแรมหรือแจ๊สคลับอื่น ๆ อีกมากมาย ได้รับรางวัลชนะเลิศ Silapakorn music award (SMA) 2010 โดยใช้เพลงเร้กเก้ในการประกวด ออกทัวร์แจสคอนเสิร์ตกับทางมหาวิทยาลัยศิลปากรปี 2013 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เคยร่วมแสดงงานแจ๊สที่มหาวิทยาลัยมหิดล TIJC (Thailand international jazz conference) ปี 2018 ในนามวง สหมิตร บิ๊กแบนแจส โดยทำหน้าที่เป็น Jazz arranger และเล่นเบส และปี 2020 ในนามวง Crazy race band ในรูปแบบ Jazz neo-soul เคยมีประสบการณ์สอนจากโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยโดยปี 59-61โดยเป็นผู้ช่วยสอนวงออร์เคสตรา วงโยธวาทิตและบิ๊กแบนแจ็สของโรงเรียน เนื่องจากสัญญาจากที่สอนในโรงเรียนสามเสนหมดลง ประกอบกับช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้งานทางดนตรีต้องพักชั่วคราว จึงต้องหางานด้านการสอนที่ใหม่ จึงได้พบกับทางมูลนิธิที่กำลังหาครูสอนดนตรีอยู่พอดีจึงเข้ามาสมัครสอน หลังจากได้เข้ามาสอน ได้พบว่าที่มูลนิธิแห่งนี้ ไม่เหมือนที่ไหน ๆ เด็กมีเอกลักษณ์พิเศษบางอย่างซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดี สอนที่นี่แล้วรู้สึกมีความสุขเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มีโรงเรียนดนตรีที่อื่น ๆ ให้รายได้ดีกว่าเชิญแม๊กกี้ไปสอน แต่เขาปฏิเสธไปอย่างชัดเจนเพราะมีความสุขในการสอนที่มูลนิธิแห่งนี้อยู่แล้ว
เรียนจบป.ตรี กานต์เริ่มเรียนเปียโนคลาสสิคตอนอายุ 5 ขวบ จากโรงเรียนสอนดนตรียามาฮ่าและได้สอบเลื่อนชั้นถึงเกรด 6 หลังจากนั้นได้เข้าทำการศึกษาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะดุริยางคศาสตร์สาขาดนตรีแจ๊ส เคยได้ไปเล่นในงานดนตรี catexpoในนามวง tsao หลังจากนั้น ได้ไปเป็น backup แตงโม the voice และตอนนี้อยู่วง Cloudy guy ค่าย Vanilla Viloage ในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย ได้มีเพื่อนพาไปสอนที่โรงเรียนชนบทในจังหวัดสุโขทัย ตอนที่สอนกานต์รู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้เห็นเด็ก ๆ ได้เรียนดนตรีกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้น ผมจึงเริ่มหาที่ที่สามารถสอนเด็กที่ด้อยโอกาส ผมก็เจอที่โรงเรียนสอนดนตรีมูลนิธิพู่กัน กานต์รู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของเด็กอีกครั้ง
จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มเรียนดนตรีไทยตั้งแต่ ประถม 4 ตอนนั้นที่เข้าไปสมัครเพราะเห็นว่าเพื่อน ๆ ไปสมัครแต่ชมรมดนตรีสากลกันหมด ไม่มีใครมาสมัครชมรมดนตรีไทยเลย จึงคิดที่จะอยากมาสมัครเพราะเห็นว่าเป็นดนตรีประจำชาติของเรา เราจึงอยากที่จะเล่นดนตรีไทยเป็น การเรียนดนตรีไทยให้อะไรกับเรามากมาย ให้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ให้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ให้รู้จักกับมิตรภาพที่ดี ๆ มากมาย แล้วหัวใจหลักที่สำคัญที่ชิมยังเล่นและสอนดนตรีไทยให้เด็ก ๆ ก็คืออยากรักษาดนตรีไทยไม่ให้หายไปจากเรา โดยที่ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับดนตรีไทยให้กับเด็ก ๆ ไว้เล่นและรักษาดนตรีไทยไว้สืบต่อไป
บัณฑิตจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ คณะด้านการศึกษารูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลายผ่านการทำความเข้าใจความแตกต่างของบุคคล ครั้งหนึ่งขณะที่ยังเป็นนักศึกษาเธอมีประสบการณ์ได้ศึกษาการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ผ่านชุมชนคลองเตย ทำให้เธอเข้าใจและอยากร่วมสร้างพื้นที่ในการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ๆ เมื่อได้รับการชักชวนจากพี่ไนซ์ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เธอจึงตอบรับในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ โดยใช้ศิลปะเป็นสื่อการเรียนรู้และพัฒนากระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์ให้แก่เด็ก ๆ
ฟางปัจจุบันเป็นคุณครูปฐมวัยอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในกทม. ชื่นชอบผลงานศิลปะจึงสนใจศึกงานที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับเด็กเล็กอยู่เสมอ ฟางเล็งเห็นว่าศิลปะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน เด็กจะได้พัฒนาส่วนของร่างกายคือ มือ ตา กล้ามเนื้อมัดเล็ก และด้านอารมณ์ที่เด็กๆ ๆ ได้ชื่นชมและสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม นอกจากนี้ยังได้ทํางานร่วมกับผู้อื่น รู้จักรอคอยในการใช้อุปกรณ์ร่วมกัน และยังพัฒนาเรื่องสติปัญญาให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับรูปร่าง การแก้ปัญหาต่าง ๆ และศิลปะยังส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ฟางเข้าทํางานนี้จากการชักชวนของครูไนซ์ จึงอยากเข้ามาช่วยและมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กในโครงการนี้ ด้วยความหวังว่าอยากให้เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและนําไปถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้